วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2555

หนังสือเสียง อีกทางเลือกของการเรียนรู้


 


 หนังสือเสียง

(Audio Books)


    สวัสดีครับ วันนี้ผมมีนวัตกรรมที่เกี่ยวกับการศึกษามาแนะนำครับผม นวัตกรรมชิ้นนี้มีชื่อว่า หนังสือเสียงครับผม อาจจะงงนะครับว่าหนังสือมันไว้อ่านไม่ใช่หรือ จะไปมีเสียงได้อย่างไร คืออย่างนี้ครับผม หนังสือเสียงเป็นการพัฒนาสื่อการเรียนการสอนเพื่อให้ตอบสนองกับคนทุกเพศ ทุกวัย แม้กระทั่งผู้ที่มีความบกพร่องทางด้านการมองเห็น เพื่อขยายขอบเขตของการศึกษาให้ตอบสนองต่อความแตกต่างหลากหลายของผู้เรียนแต่ละคนให้ได้มากที่สุด ซึ่งสื่อชิ้นนี้ก็เป็นสิ่งที่ตอบสนองความแตกต่างได้ดีทีเดียว



รูปแบบของหนังสือเสียงนะครับ จะมีอยู่ในอินเตอร์เน็ต ซึ่งผมยกตัวอย่างมาสองเว็บไซต์ คือ

http://www.braille-cet.in.th/Braille-CET/index.php

http://www.tkpark.or.th/tk/index.php?option=com_content&view=article&id=152%3A-audio-books-&catid=159%3Amicrosite&Itemid=23&lang=th


เว็บไซต์แรกนั้นเป็นของ ศูนย์สื่่อพัฒนาการศึกษา ภายในนั้นมีการใช้หนังสือเสียงเป็นสื่อในการสอนให้กับผู้พิการทางการมองเห็น เนื้อหาของสื่อนั้นมีทั้งการศึกษาใน - นอก ระบบ มีวรรณกรรม และกฏหมายทั่วไปที่ควรรู้อีกด้วย

เว็บไซต์ที่สองนั้นเป็นของ TKpark หรือห้องสมุดมีชีวิตนั่นเอง เว็บไซต์นี้ก็มีการใช้หนังสือเสียงเช่นกัน แต่จะมีการโต้ตอบกันมากกว่า คือมีเกมหรือคำถามเกี่ยวกับเรื่องที่ฟังด้วย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นนิทานของเด็กๆ มีสีสันสวยงามเหมาะแก่การเรียนรู้และสร้างจินตนาการ





การใช้งาน
          การเปิดเข้าไปฟังหนังสือเสียงก็ไม่ยากซับซ้อนนะครับ ลองเข้าไปตามที่อยู่ของเว็บไซต์ที่ผมให้ไว้นั่นแหละครับ จะมีรายการให้เลือกอยู่ว่าอยากฟังเรื่องไหน แล้วก็คลิกฟังได้เลยครับ คิดว่าอินเตอร์เน็ตที่มีความเร็วไม่มากคงไม่เป็นปัญหาอะไร น่าจะฟังได้ลื่นดีนะครับ ^^



ข้อดีของหนังสือเสียง

          - ตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคล 
          - ผู้เรียนสามารถเลือกช่วงเวลาที่อยากจะเรียนได้เอง ไม่ถูกจำกัดในเรื่องของเวลาและสถานที่
          - สามารถทบทวนเนื้อหาได้ตามต้องการ



ข้อเสียของหนังสือเสียง

          - ผู้พิการทางการได้ยินไม่สามารถใช้สื่อนี้ได้โดยสมบูรณ์
          - ชุมชนที่ไม่มีคอมพิวเตอร์หรืออินเตอร์เน็ตใช้ไม่สามารถใช้สื่อนี้ได้
        













อ้างอิง 

http://www.braille-cet.in.th/Braille-CET/index.php

http://www.tkpark.or.th/tk/index.php?option=com_content&view=article&id=152%3A-audio-books-&catid=159%3Amicrosite&Itemid=23&lang=th




***หมายเหตุ ***   เนื้อหาในบล็อกนี้ใช้เพื่อการเรียนการสอนในรายวิชา ET 213

วันเสาร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ก้าวแรกของการทำสื่อการสอนรายบุคคล


โครเชต์ งานฝีมือ สร้างรายได้ สร้างอาชีพ






เป็นสื่อที่เกี่ยวกับ        :        การถักโครเชต์

กลุ่มเป้าหมาย           :         นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3

มาตรฐานการเรียนรู้    :         เพื่อให้ผู้เรียนสามารถถักโครเชต์ได้







วัตถุประสงค์     :     เพื่อให้ผู้เรียนรู้จักอุปกรณ์ในการทำโครเชต์
                      
                           เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเลือกอุปกรณ์ที่เหมาะกับความต้องการได้

                           เพื่อให้ผู้เรียนสามารถถักโครเชต์ได้ด้วยตัวเอง

                           เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ในการทำโครเชต์ และสามารถนำไปเป็นอาชีพได้






ทำไมถึงเลือกโครเชต์มาเป็นสื่อการสอน


             ในตอนแรกที่ต้องทำสื่อการสอนรายบุคคล ก็พยายามคิดอยู่นานว่าจะทำเรื่องอะไรดี พอติดได้เรื่องหนึ่ง ก็มานึกขึ้นได้ ว่าสื่อที่ทำนั้นต้องอยู่ในกลุ่มสาระการเรียนรู้ การงานพื้นฐานอาชีพ ก็เลยต้องคิดใหม่ ยิ่งคิดก็ยิ่งคิดไม่ออก ก็เลยหันไปถามแฟนสุดที่รัก และแล้วสิ่งที่เธอตอบก็ได้ปิ๊งไอเดียผมขึ้นมาทันที นั่นคือ ที่บ้านผมเองนั้นป้ากับแม่ผม ถักโครเชต์ ร้อยลูกปัด ถักนิตติ้ง ถักไหมพรม ปักครอสติส และผลงานนั้นก็เต็มบ้านเลยทีเดียว 
              
             ในเมื่อแหล่งข้อมูลอยู่ใกล้ตัวขนาดนี้ แล้วงานฝีมือพวกนี้ก็จัดอยู่ในกลุ่มการงานพื้นฐานอาชีพ และยังเอาไปทำเป็นอาชีพสร้างรายได้ได้อีกด้วย ในที่สุดก็เลยเลือกการถักโครเชต์นี่แหละ อุปกรณ์และการทำก็ไม่อยากแต่ว่าทำออกมาได้หลากหลายรูปแบบมากและเป็นที่นิยมของทุกเพศทุกวัยอีกด้วย









รูปแบบสื่อสิ่งพิมพ์      :      เป็นหนังสือ มีข้อความ รูปภาพ การประเมิน สอนวิธีการทำโครเชต์




กิจกรรมในระหว่างเรียน       :         ฝึกถักตามสัญลักษณ์ต่างๆ เช่น X , V , โซ่

การประเมินผล                  :         ให้นักเรียนถักโครเชต์ที่สำเร็จเป็นชิ้นงานมาส่ง 1 ชิ้น
















หมายเหตุ ***  เนื้อหาในที่นี้ใช้ในการเรียนการสอน

วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ประสบการณ์ : เทคโนโลยีการศึกษาต่อการเรียนรู้



>>>>> สวัสดีครับ ท่านผู้อ่านที่น่ารัก
     





ในบทความนี้ ผมอยากจะเล่าถึงประสบการณ์ของตัวผมเองที่ได้พบเจอกับ "เทคโนโลยีการศึกษา" ว่าอะไรบ้างที่เป็นเทคโนโลยีการศึกษาที่สำคัญ เทคโนโลยีการศึกษาที่เราใช้อยู่เป็นประจำ และ เทคโนโลยีอะไรที่ทำให้เราเข้าใจการเรียนการสอนมากขึ้น ลองมาดูกันนะครับ ว่าเทคโนโลยีที่ผมเจอจะเหมือนกับคุณหรือเปล่า
               

                เริ่มตั้งแต่อดีตมาแล้วที่การศึกษาในระบบโรงเรียน จำเป็นต้องนำเทคโนโลยีในสมัยนั้นเข้ามาช่วยเหลือให้การเรียนการสอนสามารถเป็นไปได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ ยกตัวอย่างเช่น การใช้กระดานดำกับชอล์กเพื่อเป็นสื่อการเรียนการสอน หรือถ้าเขยิบขึ้นมาอีกหน่อยที่ผมเคยเจอก็จะเป็นพวก เครื่องฉาย Overhead หรือ เครื่องฉาย Projector ที่ใช้เพื่อเป็นสื่อการเรียนการสอน ให้เห็นภาพมากขึ้น ไม่ต้องจินตนาการเอาเองตลอด เครื่องมือเหล่านี้ได้ทำให้การศึกษาที่เป็นนามธรรมนั้นแปรเปลี่ยนเป็นรูปธรรมมากขึ้น

              เมื่อก่อนตอนที่เรียนมัธยม เทคโนโลยีการศึกษาที่ในห้องเรียนห้องเรียนหนึ่งจะมีนั้นก็จะเป็น ไมโครโฟน ลำโพง เครื่องฉายโปะเจกเตอร์และคอมพิวเตอร์ ในยุคนั้นความคิดในการนำเอาเทคโนโลยีการศึกษาเข้ามาใช้ก็คงจะได้ประมาณนี้ ยังไม่มีการต่อขยายไปในส่วนอื่นๆสักเท่าไร แต่ในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีก้าวหน้าไปมาก อะไรๆก็ง่ายขึ้น จึงมีการนำเทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามาช่วยในการศึกษาอย่างต่อเนื่อง แล้วแต่จะประยุกต์ใช้ในด้านไหน อย่างเช่นเมื่อตอนที่ผมเรียนอยู่ปี 1 มีวิชาหนึ่งที่ผมเรียน อาจารย์ผู้สอนนั้นใช้วิธีการส่งงานผ่านอินเตอร์เน็ต ไปดาวน์โหลดใบงานมา พอทำเสร็จก็เซฟแล้วส่งเข้าในระบบของมหาวิทยาลัยในวิชานั้น เวลาอาจารย์จะตรวจงานก็ไปดาวน์โหลดงานของนิสิตที่ได้เซฟไว้แล้วในระบบลงมาตรวจ วิธีการเรียนการสอนในลักษณะนี้ทำให้อะไรๆสะดวกขึ้นมาก การตรวจงานของอาจารย์ก็ไม่ต้องแบกกองเล่มรายงานหนักๆไปตรวจทีเดียว แค่โหลดงานของนิสิตมาเท่านั้น ซึ่งเป็นการสะดวกทั้งผู้สอนและผู้เรียน 


และอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ผมมีโอกาสได้ใช้ในชีวิตประจำวันเลยก็คือ เมื่อตอนผมอยู่ปี 2 ก็ได้เรียนวิชาที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีการศึกษาและในวิชานั้นเองก็สอนให้รู้จักใช้เทคโนโลยีการศึกษาด้วย อย่างเช่น การทำบล็อกเพื่อส่งงาน เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการประยุกต์น้ำเอาสังคมออนไลน์เข้ามาใช้ในการเรียนการสอนอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น Facebook อาจารย์ได้ใช้เฟซบุ๊กนี้ในการติดต่อสื่อสารกับนิสิตในการจะให้ทำอะไรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการสั่งงาน การส่งงาน การนัดหมายต่างๆ การตั้งกลุ่มผู้เรียนทำให้สามารถปรึกษาหรือพูดคุยกันในรายวิชานั้นได้อีกด้วย การนำเทคโนโลยีตรงนี้เข้ามาใช้ทำให้การศึกษาขยายขอบเขตได้กว้างขึ้นอีก ไม่จำกัดแค่ว่ามามหาวิทยาลัยเพื่อมาเรียน แต่บางครั้งคนที่ขาดเรียนก็สามารถตามข่าวสารหรือเนื้อหาที่เรียนไม่ทันได้ภายในเฟซบุ๊กนี้อีกด้วย นับว่าเป็นอะไรที่ดีมากๆ



                เมื่อการศึกษาเปิดกว้าง การเข้าถึงก็สามารถทำได้มากขึ้น ยิ่งเทคโนโลยีก้าวหน้าเท่าไร การศึกษาก็ยิ่งง่ายขึ้นเท่านั้น ในอนาคตเทคโนโลยีจะเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ และจะเป็นปัจจัยหลักในการทำทุกสิ่งให้ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น อย่างเช่นเทคโนโลยีการศึกษาเป็นต้น

ขอบคุณที่อ่านนะครับ ^^

    
    











*หมายเหตุ เนื้อหาทั้งหมดในบล็อคนี้ใช้เพื่อการศึกษา

วันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

นิสัยของผมกับทฤษฎี X Y Z



>>>>>   สวัสดีครับ ผู้อ่านที่น่ารักทุกคน ในบทความนี้ผมจะมาพูดถึงทฤษฎี X Y Z ว่ามันคืออะไรเป็น

อย่างไร และ มันเหมือนกันกับนิสัยของผมอย่างไร ลองมาดูกันนะครับ ^^





                         X        Y        Z






>>>>> ทฤษฎี x y เป็นทฤษฎีที่ Douglas Mcgregor คิดค้นขึ้น ซึ่งเกี่ยวกับการมองบุคคล ว่าคนแบบนี้ เป็นคนประเภทไหน โดยเจ้าของทฤษฎีนี้ได้แบ่งไว้ 2 ประเภท คือ X และ Y



ทฤษฎี X

     ทฤษฎีนี้เชื่อว่าคนเรานั้น เป็นคนไม่ชอบทำงาน ไม่อยากมีความรับผิดชอบ ไม่ทะเยอทะยาน ไม่ริเริ่ม ต้องให้สั่งการถึงจะทำ และมักเห็นตัวเองก่อนเห็นผู้อื่น 

เป็นทฤษฎีที่มองคนในแง่ลบ มองว่าคนนั้นไร้ความสามารถ หากจะให้ทำอะไรให้ต้องมีผลตอบแทนถึงจะทำ






ทฤษฎี Y


     ทฤษฎีเชื่อว่าคนเรานั้นมีความรับผิดชอบทั้งต่อหน้าที่และต่อตนเอง มีความขยันไม่เกียจคร้าน       มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์หากได้รับการเสริมแรงที่ดี และสามารถวางใจได้ คนประเภทนี้จะพัฒนาตนเองตลอดไม่หยุดอยู่นิ่ง ทฤษฎีนี้จะมองคนในแง่ดี ว่าคนเราสามารถทำอะไรได้ด้วยตนเองและทำได้ดี



ทฤษฎี Z

     ทฤษฎีนี้ William G. Ouchl ได้นำทฤษฎี X และทฤษฎี Y มารวมไว้ด้วยกัน โดยเชื่อว่าลักษณะนิสัยของคนเรานั้นไม่ได้มีแค่ ทฤษฎี X และทฤษฎี Y แต่คนเรายังมีอะไรมากกว่านั้น คือ 
1. มีความคิดเป็นของตนเอง สามารถบอกว่าจะเลือกสิ่งไหนหรือชอบอะไรไม่ชอบอะไร
2. สามารถตัดสินใจได้ด้วยตนเอง สามารถชั่งน้ำหนักกันได้ว่าควรทำสิ่งไหนก่อนกัน และสามารถเลือกตัดสินใจเลือกสิ่งที่ดีให้กันตัวเองได้
3. สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง เมื่อเกิดปัญหาขึ้นคนประเภทนี้จะสามารถหาหนทางในการแก้ปัญหาได้ด้วยดี
ทฤษฎีนี้จะมองคนในแง่บวก ว่าคนเราเป็นเจ้านายตนเอง ทำอะไรได้ด้วยตนเอง คิด เลือก ตัดสินใจ แก้ปัญหาด้วยตนเองได้ นะครับ



     

     สรุปทฤษฎี X Y Z แบบง่ายๆนะครับ 

X มองคนในแง่ลบ มองคนว่าไม่มีความสามารถ ต้องสั่งการและต้องมีรางวัลให้
Y มองคนในแง่ดี มีความสามารถในตนเอง เป็นที่ไว้ใจได้ มีความรับผิดชอบ ทำงานเองได้
Z มองคนในแง่บวก มองว่าคนเราเป็นเจ้านายตนเอง มีอิสระในชีวิต สามารถทำอะไรต่างๆได้ด้วยตนเอง

จากทฤษฎีที่กล่าวไปข้างต้น ก็คงจะได้รู้จักกับทฤษฎีนี้พอสมควรแล้วนะครับ ลองคิดดูซิครับว่า ตัวเรานั้นเป็นคนแบบไหน X Y หรือ Z ???


     
     My X Y Z

ส่วนตัวผมนั้น ผมคิดว่าน่าจะถูกจัดอยู่ในประเภท X และ Y - -*  อาจจะงงนะครับว่าทำไมไม่อยู่สักประเภท ผมว่าตัวผมนั้นมันก้ำกึ่งระหว่าง X และ Y แต่ว่ามันก็ไม่ใช่ Z คือผมมีทั้งสองอย่างที่อยู่ใน X กับ Y น่ะครับ บางทีผมก็ขี้เกียจ แต่บางทีก็ขยัน (เวลาทำงานส่งนี่แหละครับ) ผมเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์น้อย ไม่ค่อยจะมีความคิดริเริ่มอะไรเท่าไหร่ ถ้าพูดโดยรวมแล้วอาจจะจัดผมว่าอยู่ในทฤษฎี X ก็ได้นะครับ แต่ว่า ผมไม่ได้เป็นคนเห็นแก่รางวัล จะทำอะไรแค่เห็นว่าสมควรทำหรือมันน่าทำ ผมก็ทำเองโดยไม่ต้องมีรางวัล (ข้อเดียวนี่แหละครับ ที่ทำให้ผมไม่อยู่ในทฤษฎี X แบบเต็มตัว)

นี่แหละครับ ตัวผม ทฤษฎี Y เหมาะกับผมที่สุดแล้ว ^^




ขอบคุณที่อ่านนะครับ หวังว่าจะมีประโยชน์ไว้ใช้นะคร้าบโผม