วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ประสบการณ์ : เทคโนโลยีการศึกษาต่อการเรียนรู้



>>>>> สวัสดีครับ ท่านผู้อ่านที่น่ารัก
     





ในบทความนี้ ผมอยากจะเล่าถึงประสบการณ์ของตัวผมเองที่ได้พบเจอกับ "เทคโนโลยีการศึกษา" ว่าอะไรบ้างที่เป็นเทคโนโลยีการศึกษาที่สำคัญ เทคโนโลยีการศึกษาที่เราใช้อยู่เป็นประจำ และ เทคโนโลยีอะไรที่ทำให้เราเข้าใจการเรียนการสอนมากขึ้น ลองมาดูกันนะครับ ว่าเทคโนโลยีที่ผมเจอจะเหมือนกับคุณหรือเปล่า
               

                เริ่มตั้งแต่อดีตมาแล้วที่การศึกษาในระบบโรงเรียน จำเป็นต้องนำเทคโนโลยีในสมัยนั้นเข้ามาช่วยเหลือให้การเรียนการสอนสามารถเป็นไปได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ ยกตัวอย่างเช่น การใช้กระดานดำกับชอล์กเพื่อเป็นสื่อการเรียนการสอน หรือถ้าเขยิบขึ้นมาอีกหน่อยที่ผมเคยเจอก็จะเป็นพวก เครื่องฉาย Overhead หรือ เครื่องฉาย Projector ที่ใช้เพื่อเป็นสื่อการเรียนการสอน ให้เห็นภาพมากขึ้น ไม่ต้องจินตนาการเอาเองตลอด เครื่องมือเหล่านี้ได้ทำให้การศึกษาที่เป็นนามธรรมนั้นแปรเปลี่ยนเป็นรูปธรรมมากขึ้น

              เมื่อก่อนตอนที่เรียนมัธยม เทคโนโลยีการศึกษาที่ในห้องเรียนห้องเรียนหนึ่งจะมีนั้นก็จะเป็น ไมโครโฟน ลำโพง เครื่องฉายโปะเจกเตอร์และคอมพิวเตอร์ ในยุคนั้นความคิดในการนำเอาเทคโนโลยีการศึกษาเข้ามาใช้ก็คงจะได้ประมาณนี้ ยังไม่มีการต่อขยายไปในส่วนอื่นๆสักเท่าไร แต่ในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีก้าวหน้าไปมาก อะไรๆก็ง่ายขึ้น จึงมีการนำเทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามาช่วยในการศึกษาอย่างต่อเนื่อง แล้วแต่จะประยุกต์ใช้ในด้านไหน อย่างเช่นเมื่อตอนที่ผมเรียนอยู่ปี 1 มีวิชาหนึ่งที่ผมเรียน อาจารย์ผู้สอนนั้นใช้วิธีการส่งงานผ่านอินเตอร์เน็ต ไปดาวน์โหลดใบงานมา พอทำเสร็จก็เซฟแล้วส่งเข้าในระบบของมหาวิทยาลัยในวิชานั้น เวลาอาจารย์จะตรวจงานก็ไปดาวน์โหลดงานของนิสิตที่ได้เซฟไว้แล้วในระบบลงมาตรวจ วิธีการเรียนการสอนในลักษณะนี้ทำให้อะไรๆสะดวกขึ้นมาก การตรวจงานของอาจารย์ก็ไม่ต้องแบกกองเล่มรายงานหนักๆไปตรวจทีเดียว แค่โหลดงานของนิสิตมาเท่านั้น ซึ่งเป็นการสะดวกทั้งผู้สอนและผู้เรียน 


และอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ผมมีโอกาสได้ใช้ในชีวิตประจำวันเลยก็คือ เมื่อตอนผมอยู่ปี 2 ก็ได้เรียนวิชาที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีการศึกษาและในวิชานั้นเองก็สอนให้รู้จักใช้เทคโนโลยีการศึกษาด้วย อย่างเช่น การทำบล็อกเพื่อส่งงาน เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการประยุกต์น้ำเอาสังคมออนไลน์เข้ามาใช้ในการเรียนการสอนอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น Facebook อาจารย์ได้ใช้เฟซบุ๊กนี้ในการติดต่อสื่อสารกับนิสิตในการจะให้ทำอะไรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการสั่งงาน การส่งงาน การนัดหมายต่างๆ การตั้งกลุ่มผู้เรียนทำให้สามารถปรึกษาหรือพูดคุยกันในรายวิชานั้นได้อีกด้วย การนำเทคโนโลยีตรงนี้เข้ามาใช้ทำให้การศึกษาขยายขอบเขตได้กว้างขึ้นอีก ไม่จำกัดแค่ว่ามามหาวิทยาลัยเพื่อมาเรียน แต่บางครั้งคนที่ขาดเรียนก็สามารถตามข่าวสารหรือเนื้อหาที่เรียนไม่ทันได้ภายในเฟซบุ๊กนี้อีกด้วย นับว่าเป็นอะไรที่ดีมากๆ



                เมื่อการศึกษาเปิดกว้าง การเข้าถึงก็สามารถทำได้มากขึ้น ยิ่งเทคโนโลยีก้าวหน้าเท่าไร การศึกษาก็ยิ่งง่ายขึ้นเท่านั้น ในอนาคตเทคโนโลยีจะเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ และจะเป็นปัจจัยหลักในการทำทุกสิ่งให้ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น อย่างเช่นเทคโนโลยีการศึกษาเป็นต้น

ขอบคุณที่อ่านนะครับ ^^

    
    











*หมายเหตุ เนื้อหาทั้งหมดในบล็อคนี้ใช้เพื่อการศึกษา

วันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

นิสัยของผมกับทฤษฎี X Y Z



>>>>>   สวัสดีครับ ผู้อ่านที่น่ารักทุกคน ในบทความนี้ผมจะมาพูดถึงทฤษฎี X Y Z ว่ามันคืออะไรเป็น

อย่างไร และ มันเหมือนกันกับนิสัยของผมอย่างไร ลองมาดูกันนะครับ ^^





                         X        Y        Z






>>>>> ทฤษฎี x y เป็นทฤษฎีที่ Douglas Mcgregor คิดค้นขึ้น ซึ่งเกี่ยวกับการมองบุคคล ว่าคนแบบนี้ เป็นคนประเภทไหน โดยเจ้าของทฤษฎีนี้ได้แบ่งไว้ 2 ประเภท คือ X และ Y



ทฤษฎี X

     ทฤษฎีนี้เชื่อว่าคนเรานั้น เป็นคนไม่ชอบทำงาน ไม่อยากมีความรับผิดชอบ ไม่ทะเยอทะยาน ไม่ริเริ่ม ต้องให้สั่งการถึงจะทำ และมักเห็นตัวเองก่อนเห็นผู้อื่น 

เป็นทฤษฎีที่มองคนในแง่ลบ มองว่าคนนั้นไร้ความสามารถ หากจะให้ทำอะไรให้ต้องมีผลตอบแทนถึงจะทำ






ทฤษฎี Y


     ทฤษฎีเชื่อว่าคนเรานั้นมีความรับผิดชอบทั้งต่อหน้าที่และต่อตนเอง มีความขยันไม่เกียจคร้าน       มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์หากได้รับการเสริมแรงที่ดี และสามารถวางใจได้ คนประเภทนี้จะพัฒนาตนเองตลอดไม่หยุดอยู่นิ่ง ทฤษฎีนี้จะมองคนในแง่ดี ว่าคนเราสามารถทำอะไรได้ด้วยตนเองและทำได้ดี



ทฤษฎี Z

     ทฤษฎีนี้ William G. Ouchl ได้นำทฤษฎี X และทฤษฎี Y มารวมไว้ด้วยกัน โดยเชื่อว่าลักษณะนิสัยของคนเรานั้นไม่ได้มีแค่ ทฤษฎี X และทฤษฎี Y แต่คนเรายังมีอะไรมากกว่านั้น คือ 
1. มีความคิดเป็นของตนเอง สามารถบอกว่าจะเลือกสิ่งไหนหรือชอบอะไรไม่ชอบอะไร
2. สามารถตัดสินใจได้ด้วยตนเอง สามารถชั่งน้ำหนักกันได้ว่าควรทำสิ่งไหนก่อนกัน และสามารถเลือกตัดสินใจเลือกสิ่งที่ดีให้กันตัวเองได้
3. สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง เมื่อเกิดปัญหาขึ้นคนประเภทนี้จะสามารถหาหนทางในการแก้ปัญหาได้ด้วยดี
ทฤษฎีนี้จะมองคนในแง่บวก ว่าคนเราเป็นเจ้านายตนเอง ทำอะไรได้ด้วยตนเอง คิด เลือก ตัดสินใจ แก้ปัญหาด้วยตนเองได้ นะครับ



     

     สรุปทฤษฎี X Y Z แบบง่ายๆนะครับ 

X มองคนในแง่ลบ มองคนว่าไม่มีความสามารถ ต้องสั่งการและต้องมีรางวัลให้
Y มองคนในแง่ดี มีความสามารถในตนเอง เป็นที่ไว้ใจได้ มีความรับผิดชอบ ทำงานเองได้
Z มองคนในแง่บวก มองว่าคนเราเป็นเจ้านายตนเอง มีอิสระในชีวิต สามารถทำอะไรต่างๆได้ด้วยตนเอง

จากทฤษฎีที่กล่าวไปข้างต้น ก็คงจะได้รู้จักกับทฤษฎีนี้พอสมควรแล้วนะครับ ลองคิดดูซิครับว่า ตัวเรานั้นเป็นคนแบบไหน X Y หรือ Z ???


     
     My X Y Z

ส่วนตัวผมนั้น ผมคิดว่าน่าจะถูกจัดอยู่ในประเภท X และ Y - -*  อาจจะงงนะครับว่าทำไมไม่อยู่สักประเภท ผมว่าตัวผมนั้นมันก้ำกึ่งระหว่าง X และ Y แต่ว่ามันก็ไม่ใช่ Z คือผมมีทั้งสองอย่างที่อยู่ใน X กับ Y น่ะครับ บางทีผมก็ขี้เกียจ แต่บางทีก็ขยัน (เวลาทำงานส่งนี่แหละครับ) ผมเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์น้อย ไม่ค่อยจะมีความคิดริเริ่มอะไรเท่าไหร่ ถ้าพูดโดยรวมแล้วอาจจะจัดผมว่าอยู่ในทฤษฎี X ก็ได้นะครับ แต่ว่า ผมไม่ได้เป็นคนเห็นแก่รางวัล จะทำอะไรแค่เห็นว่าสมควรทำหรือมันน่าทำ ผมก็ทำเองโดยไม่ต้องมีรางวัล (ข้อเดียวนี่แหละครับ ที่ทำให้ผมไม่อยู่ในทฤษฎี X แบบเต็มตัว)

นี่แหละครับ ตัวผม ทฤษฎี Y เหมาะกับผมที่สุดแล้ว ^^




ขอบคุณที่อ่านนะครับ หวังว่าจะมีประโยชน์ไว้ใช้นะคร้าบโผม